ทำไม ตม. ญี่ปุ่น ช้าจัง
แล้วเราก็มาถึงญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ เรื่องแรกที่เราเจอคือ ตม. ของญี่ปุ่นปล่อยคนเข้าไปช้ามาก ไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวมันชุ่ยไม่เตรียมตัวตอบคำถาม หรือเค้าถามเยอะก็ไม่รู้ ด้วยแถวที่พับทบไปมากกว่า 10 ชั้น และอัตราการปล่อยนักท่องเที่ยวเข้าไปในประเทศ 1 คนครึ่งต่อนาที ทำให้เราติดอยู่แถวในประมาณ 1 ชม. พอถึงคิวเรา ก็ไม่มีอะไรนะ แทบไม่ถามอะไรเลย ผ่านไปอย่างชิล แสดงว่าชัดเลย 555555
ไฟลท์มาญี่ปุ่นของเราคนไม่เยอะเท่าไหร่
มาถึงญี่ปุ่นแล้วโว้ยยยย
นั่งรถไฟจากสนามบินไปโรงแรม คุณแฟนเริ่มออกอาการไม่สบาย
ผ่าน ตม. มาได้ ก็ไปรับกระเป๋า พร้อมขึ้นรถไฟ SkyLiner ไปที่สถานี Nippori โรงแรมที่เราจองไว้ และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั่งรถไฟคือคุณแฟนสุดที่รักของผมมีอาการตัวร้อน น้ำมูกไหล ไม่สบายตัว เหมือนจะเป็นไข้ขึ้นมา คือตอนแรกที่วางแผนจะมาเที่ยวคือก่อนหน้านี้ วันเสาร์ผมและแฟน(และลูก) ไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่มา วันอาทิตย์ผ่านไป ทั้งสามคนไม่มีอาการอะไร คืนอาทิตย์เลยตัดสินใจจองตั๋วไปเที่ยวญี่ปุ่น บินคืนวันจันทร์ซะเลย แต่ผ่านมาถึงตอนนี้ พ่อ(ที่มาเที่ยว)และลูก(ที่อยู่บ้าน)อาการปกติ ไม่มีไข้หรือน้ำมูกไดๆ แต่คุณแม่อาการเริ่มออกตอนขึ้นเครื่องบิน คิดว่าได้นอนพักบนเครื่องบินก็คงหาย พบว่าตอนนี้นางเหมือนจะไม่ไหว ทำให้หลังจากขึ้นรถไฟมาแล้วยอยุ้ยของเรา หลับยาว จนถึงสถานีปลายทาง วิวข้างทางที่รอดูมา 5 ปี ก็ดูในฝันกันไป
มาถึงปุ๊ป ก็มีโบรชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นให้หยิบฟรี แน่นอนครับ ผมหยิบมาทุกเล่มเลย 5555
มารับกระเป๋ากัน
ลงบันไดเลื่อนไปที่สถานทีรถไฟ
แน่นอนครับ สถานีรถไฟญี่ปุ่น เยอะมาก และงงมาก แต่ไม่เป็นไร google map ช่วยได้
นั่ง Skyliner ไปลงที่สถานนี Nippori ต่อเดียวถึงไม่ต้องเปลี่ยนรถ
นั่ง Skyliner นึกถึงเมืองไทย ถ้าต้องรับส่งสนามบิน โคตรชอบที่นั่งแบบนี้ กระเป๋าเดินทาง ก็มีที่เก็บให้ ล็อคที่นั่งไปเลย นั่งชิลยาวๆ ถึงสนามบิน เก็บแพงหน่อยก็เชื่อว่าคนที่นั่งเครื่องบินยอมจ่ายอยู่แล้ว
ถึงสถานีโรมแรมแล้ว ต้องออกกำลังกันหน่อย
พอเรามาถึงสถานี Nippori ก็สบายหน่อย เพราะโรงแรมที่จองห่างจากสถานีรถไฟ แค่ 200 เมตร คิดว่าเดินแปปเดียวยุ้ยก็ได้พักแล้ว ปรากฎว่าระว่างทาง 200 เมตรนี้ มีบันไดความชันประมาณ 45 องศา จำนวนกว่า 50 ขั้นแทรกอยู่ นายเดียวผู้เป็นสามีเลยต้องระเบิดฟอร์มลากกระเป๋าใบเท่าลูกควาย ลงบันไดแบบสภาพทุลักทุเลสุดๆ เริ่มต้นทริปได้อย่างสวยงาม
มาถึงสถานีนิปโปริแล้วจ้า
บันไดสุดชัน เป็นด่านทดสอบกำลังกายก่อนจะไปถึงโรงแรม
บรรยากาศของเมืองโตเกียวระหว่างทางไปโรงแรม โคตรคิดถึง
เนี่ยร้านอาหารและเครื่องดื่มเพียบ 200 เมตรที่เยียวยาจิตใจเราได้
โรงแรมที่เราพักครับ APA Hotel TKP Nippori Ekimae
หลังจากเสียพลังงานไป 200 kcal ในระยะทาง 200 เมตร เราก็มาถึงโรงแรมที่เราพัก APA Nippori ระหว่างทางมี Family mart และร้านอาหาร(+ร้านเหล้า)เพียบ รอดตายแล้วเรา เปิดประตูมาพนักงานสาวญี่ปุ่นสุดน่ารัก พูดภาษาอังกฤษได้ชัดแจ๋วให้เราเช็คอินได้ตามปกติ ขึ้นลิฟท์ เปิดห้องเข้าไป ตอนแรกจากที่ดูมาใน Agoda คิดว่าห้อง 11 ตรม. จะอยู่ได้ยังไง 2 คน พอเจอของจริงพบว่าอยู่ได้ สบายด้วย เอาลูกมาด้วยยังได้เลย แถมกางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 1 ใบได้สบาย ห้องน้ำก็เล็กหน่อย แต่ใช้ได้ ไม่อึดอัด ชักโครกระบบไฟฟ้าตามมาตราฐาน มีฝักบัวเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำเพื่อแช่ได้ฟินๆ ได้ (เดี๋ยวรีวิวห้องพักโรงแรม ผมแยกให้อีกโพสนึงนะครับ) หลังจากประทับใจแล้ว เราก็ให้แฟนอาบน้ำ นอนพักผ่อน ส่วนเราเองลงไปทำภารกิจแรก แอ๊วสาวพนักงานต้อนรับของโรงแรม เย้ย ลงไปซื้อของที่ Family mart ที่เราคิดถึง
ระหว่างเดินไป family mart เห้อ แสงสวยจัดๆ ญี่ปุ่นนี่อะไรๆ ก็ดีไปหมด
EP1 img15 มีบ้านยิ่งใหญ่และเก่าแก่เหมือนสำนักฝึกวิชาอะไรบางอย่างอยู่แถวตรงข้าม Family mart
คาราวะ Family Mart ที่เราคิดถึง กับไอติมองุ่นที่รอมา 5 ปี
ระหว่างทางเดินไป Family mart เราก็เดินไปยิ้มไปอยู่คนเดียว คนญี่ปุ่นมาเห็นคงคิดว่าไอ้นี่มึงปกติมั้ยวะ ทำไงได้ชั้นก็รัก(ญี่ปุ่น)ของชั้นเข้าใจบ้างมั้ย เฝ้าฝันว่าจะกลับไปเคลียร์ใจตั้ง 5 ปี วันนี้เราได้มาแล้ว ให้กูมีความสุขหน่อยเหอะ และก็เดินเข้าไปใน Family mart ที่แรกที่ตรงดิ่งเข้าไปเลยคือตู้ไอติมครับ ก่อนหน้านี้ ผมกับแฟนไปเที่ยวไต้หวันและฮ่องกงมา ก็เที่ยวเดินตามหาไอติมองุ่นอันนี้ที่เคยกินเมื่อครั้งไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก แต่ก็ไม่เคยเจอเลย และแฟนบอกว่าไอติมนี้ทำเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น ลองกวาดสายตามมองหา พบว่า มีขายครับ!! อยากตะโกนดังๆว่า กูมาถึงญี่ปุ่นแล้วโว้ยยยยยยย แต่กลัวพนักงาน family mart จะเรียก รปภ มารวบตัวไปทัวร์โรงพัก ได้แต่เดินยิ้มคนเดียวใน family mart (อีกแล้ว) หยิบของโน่น นี่ นั่น เต็มตะกร้า ไปเค้าเตอร์จ่ายเงิน ค่าเสียหายทั้งหมด 2000 กว่าเยน พนักงานคงสงสัยว่า มึงไม่กะจะไปกินข้าวที่ไหนแล้วใช่มั้ย ไม่เว้ย กูจะชิม ทริปนี้กูพร้อมจ่ายมาก 2000 yen หรือ ประมาณ 500 บาทนี้ กูคิดว่าคุ้มค่าทุกบาทที่จ่ายไป จบเรียบร้อยสำหรับ ภารกิจแรกกินไอติมองุ่น พร้อมชิมขนม family mart เย้!!! เหมือนเดิม รีวิวขนมใน family mart ผมแยกให้อีกโพสนะครับ เพื่อขอพื้นที่ให้ผมได้ความเวิ่นเว้อเรื่องราวของทริปนี้ได้เต็มที่
ถึงแล้ว Family mart ที่เราคิดถึง และค่าใช้จ่ายหลังจากเดินหยิบของใน Family mart เพลินๆ
ไอติมองุ่นที่รอคอยมากว่า 5 ปี น้ำตาจะไหล และ เบียร์ญี่ปุ่นที่คิดถึง เอาไว้มีโอกาสจะรีวิวทุกยี่ห้อเลย
หมึกแห้ง เนียว นุ่ม หนึบ ซื้อที่ไหน ก็ไม่อร่อยเท่าที่นี่ (ใครเจอแบบนี้ในไทยแล้วคิดว่าอร่อยพอๆกันบอกด้วย เดี๋ยวไปลองครับ) และ ช็อกโกแลตที่มารู้ที่หลังว่ากำลังฮิตในหมู่คนไทย อร่อยๆ
หนีเมียเที่ยวครั้งแรก
หลังจากเอาขนมขึ้นไปกินที่โรงแรม และคุณแฟนก็ยังไม่ฟื้น ผมเลยถือโอกาสหนีแฟนเที่ยวครั้งแรกในรอบหลายปี (มึงไม่ได้หนี เค้าป่วย) งั้นเราไป Ikebukuro ลองดูมั้ย เคยดูช่องครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น โดยสาวแซ่บไซตามะและอ๊บลุง เค้าพาไปเดิน มีอะไรน่าสนใจเพียบ และเค้าบอกว่ามันดูทรงๆ คล้ายอากิฮาบาระ (ถ้าจำข้อมูลผิดขอโทษพี่สาวแซ่บและพี่อ๊บด้วยนะครับ) ย่านเด็กเนิร์ดที่เราตั้งใจไปทัวร์ด้วย งั้นไปกันเลย
เดินลงมาถึงสถานี คำถามเกิดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เดินวนไปวนมาสองรอบเพื่อคิดว่า กูต้องนั่งรถไฟสายอะไร ไปสถานนีไหน แล้วเงินใน Suica เหลือกี่บาท งั้นเช็คเงินที่ตู้เติม Suica ก่อน เหลือ 200 yen เอาแล้ว จะไปถึงมั้ย แล้วเติมเงินยังไง ความรู้ที่มีเมื่อ 5 ปีก่อน ก็คืนครูหมดแล้ว เมื่อหาข้อมูลเสร็จพบว่า ถ้าจะเติมผ่านตู้ ต้องใช้เงินสดเท่านั้น ไหนบอกญี่ปุ่นเป็น cashless society แล้วไงงงง ทำไมเติมเงินด้วยบัตรเครดิตไม่ได้ ทำไมกูต้องเดินหาตู้ ATM กดเงินด้วยยยยย
นึกขึ้นได้ เห็นตู้ ATM แว๊บๆ ที่ Family mart โอเค เดินกลับไปก็ได้วะ เซฟๆ ดีกว่าหลง แค่ไม่มีแฟนคอยตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหน ไอ้เราก็ว้าวุ่นพอแล้ว ถ้าต้องเฟร้งฟร้างเดินหาตู้ ATM อีกจะมันดูไม่เท่ซะด้วย เลยกลับไปที่ Family mart เจอตู้ ATM กดออกมาด้วยความไม่มั่นใจว่ามันคือเงินที่เราแลกไว้ในบัตรหรือกดจากเงินไทยที่มีบัญชี แถมมีค่ากดอีก 200 yen ไม่เป็นไร เวลานี้ต้องไปแล้ว
ตอนนี้นับจากเดินลงมาจากโรงแรม ก็เป็นเวลากว่าครึ่ง ชม. ชายเดียวผู้ห้าวหาญจะหนีแฟนเทียว ยังอยู่ที่ Family mart ข้างโรงแรม และแล้วเราก็ได้ขึ้นไปเติม Suica (ของแฟน ของตัวเองทำหาย T_T) และนั่งรถไฟไป Ikebukuro กัน
ป้ายสถานี Nippori สุดคลาสสิก
นั่งสาย Yamanote line ไปที่ Ikebukuro
บรรยากาศนั่งรถไฟในญี่ปุ่นที่คิดถึง และงงไปพร้อมๆกัน รอลุ้นว่าเมื่อไหร่จะมีภาษาอังกฤษโผล่มาให้เราพอจะรู้ได้ว่า ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน
มาถึง Ikebukuro เป้าหมายแรกของเรา
เวลาประมาณสามทุ่มถึงย่าน Ikebokuro เห้ย คนเยอะดี แสดงว่าต้องมีอะไรน่าสนใจ เค้าบอกมีห้าง sunshine city กับถนน sunshine 60 ซักอย่าง คาดหวังจะไปดูของเล่นเพลินๆ อุ่นเครื่องก่อนไปอากิฮาบาระจริงๆ พรุ่งนี้ เดินไปซักพักทำไมคนมันเดินสวนทางกับเราวะ แล้วก็ทางที่เราไป คนก็น้อยลงเรื่อยๆ และเราก็เดินไปถึงห้าง sunshine city เพื่อที่จะพบว่ามันปิด! ตล่งตลาดก็ไม่ต้องไปกันแล้ว เดินกลับเหงาๆ เจอตึก GiGO ที่มีตู้คีบตุ๊กตาคนพลุกพล่านอยู่ ไปด่อมๆ มองๆ ไหนลองดูซัก 1 ยกมั้ย เผื่อได้ฝากแฟน พบว่าจ่ายเงินไม่เป็น เหมือนมันให้แตะบัตรอะไรซักอย่าง ต้องไปแลกบัตรหรือเหรียญอะไรพิเศษมั้ย ก็เลยตัดใจ เดินออกมาพร้อมนึกในใจ “มึงรอเมียกูฟื้นก่อน คนนั้นเค้าคีบจนตุ๊กตามึงเปื่อยแน่” สรุป เดินวนๆ งงๆ อึนๆ อยู่ Ikebokuro ประมาณ ชม. นึงไม่ได้อะไร ได้แต่ความแค้นที่ห้างปิดและเจ็บใจที่หยอดเหรียญคีบตุ๊กตาไม่เป็น งั้นเราไปย้อมใจที่อิซากายะที่เราเคยเห็นในยูทูปแถวชินจูกุกันบ้างดีกว่า ไปคนเดียวเผื่อมีโอกาสได้เพื่อนใหม่ อย่างน้อยเชฟเค้าก็น่าจะคุยกับเรา ได้รู้จักโลกมาขึ้น เราก็นั่งรถไฟไปชินจูกุกันครับ
มาถึงสถานี Ikebukuro แล้ว เจอตู้กดน้ำที่คิดถึง เดี๋ยวเจอกัน
รอคนเดินขึ้นไปหมด เก็บบรรยาชานชะลาโล่งๆหน่อย
งงอย่างมีความสุขในสถานี Ikebukuro ออกประตูไหนวะ
แล้วเราก็พบกับทางออกที่เราต้องการ ไปห้าง sunshine city กัน
ยืนบนบันไดเลื่อนที่ญี่ปุ่นชิดซ้าย และตอนที่กำลังจะโผล่ขึ้นไปทางออก โคตรตื่นเต้น
ร้านแทบจะปิดหมดแล้ว ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เจอกัน
ร้านคีบตุ๊กตาที่คิดถึง รอแฟนผมฟื้นก่อน เตรียมที่คีบคุณไว้ให้ดี
อาเนีย พรุ่งนี้พี่ยุ้ยมารับหนูแน่
ปิกกาจูขนปุกปุย ก็ไม่น่ารอด
นั่งรถไฟไปชินจูกุ ย้อมใจซักหน่อย
หลังจากกด Google map ทางเลือกแรกที่เราเจอคือนั่งรถไฟสายสีแดงไปที่ชินจุกุใช้เวลาประมาณ 45 นาที 11 สถานี โอเค ไกลหน่อย แต่คืนนี้ขอจบภาระกิจอาซากายะ ปังๆ ฟินๆ ซัก 1 ทริป พอนั่งรถไฟไปซักพัก กดดู google map อีกรอบ เลื่อนไปเจอ ถ้านั่งสายสีเขียวเหมือนเดิมคือ 5 สถานี ใช้เวลา 15 นาที ก็ถึงชินจุกุ นี่สินะ ผลกรรมของคนที่คิดอยากเที่ยวคนเดียว ไม่อยู่ดูแลแฟนที่โรงแรม ไอ้คนบาป
ก้มหน้าเล่นมือถือหาร้านไปซักพักใหญ่ๆ ได้เป้าหมายว่าเราจะไปย่านกินดื่มที่ชื่อ Omoide Yokocho ซอยนี้เค้าดังเรื่องร้านอิซากายะที่เป็นบาร์ นั่งกินนั่งดื่ม คุยกับเจ้าของร้านไป หรือถ้าคนข้างๆ ชวนคุยก็ได้เพื่อนใหม่ ภาพที่เราจินตนาการเอาไว้เป็นอย่างนั้น
แล้วเดินหลงไปมาในสถานีชินจูกุ มาโผล่ที่ Uniqlo ซะงั้น 5555 โชคดี ยุ้ยไม่ได้มาด้วย ไม่งั้นต้องเผื่อเวลา 1 ชม. สำหรับการสักการะยูนิโคล่ชินจูกุ ส่วนผมตอนนี้ไม่ไหวแล้ว ต้องการแอลกอฮลเข้าเส้นเลือด
ขึ้นมาทางออกจากสถานีแบบแรนด้อม มาลุ้นกันจะโผล่ที่ไหน
โผล่ที่ยูนิโคล่เพื่อนรักของเรานี่เอง เสียใจด้วยนะ วันนี้ยอยุ้ยนอนป่วยที่ห้อง เจอกันพรุ่งนี้
ลองย่านกินดื่มสุดฮิต Omoide Yokocho คนเยอะ ควันก็เยอะเช่นกัน
แล้วเราก็มาถึงสิ่งที่เจอคือนักท่องเที่ยวเยอะมาก เดินเบียดกันยังกะเจเจในวันเสาร์อาทิตย์ และควันโขมง ทั้งควันย่างยากิโทริ ทั้งควันบุหรี่ ลอยเคว้งในอากาศได้ฟีลมาก และอีกอย่างถ้ายุ้ยมาด้วย เราคงไม่มีโอกาสได้นั่งร้านพวกนี้แน่นอน เพราะนางแพ้บุหรี่มาก และนางเกลียดการเดินเบียดกับคนเยอะๆ เราก็พุ่งตัวไปเดินเซอเวย์รอบนึงก่อน มันน่านั่งทุกร้านเลยนะ แต่ทุกร้านจะที่นั่งเกือบเต็ม และส่วนใหญ่เค้ามากันเป็นกลุ่ม ไม่ได้มาคนเดียวแบบเรา ก็เลยเลือกนั่งร้านที่ค่อนข้างว่าง มีแค่คุณพี่ญี่ปุ่นรุ่นใหญ่นั่งกินกันอยู่สองคน พอนั่งไปซักพัก ไอ้สัส ไม่เหมือนที่คิด คนขายก็ไม่สนใจ จะสั่งอะไรเพิ่มก็ต้องเรียกหลายครั้ง ลุงข้างๆ สองคนก็ไม่รู้จะเริ่มคุยกับเค้ายังไง มีคนเข้ามาเพิ่มเป็นคู่ชายหญิงชาวเกาหลี มุ้งมิ้งๆกันตลอด แถมยังเหมือนนินทาเราด้วย เริ่มวันแรกของทริป ก็สร้างความประทับใจให้กูซะแล้ว แต่ที่ให้อภัยคือเบียร์และยากิโทริที่สั่งมาอร่อยมาก แต่ไม่ให้อภัยอีกอย่างคือ เบียร์ 2 แก้ว ยากิโทริ 5 ไม้ ค่าเสียหาย 3450 yen แพงจัดๆ
มาถึงแล้วจ้า Omoide Yokocho หน้าตาตรงปกเป๊ะ
คนเยอะจัดๆ แต่มันคือบรรยากาสที่ควรเข้ามาสัมผัสซักครั้งนะ
คนถ่ายรูปเยอะมากกกกก ไฟมันสวยเนาะ ทำไงได้
เบียร์และยากิโทริ อร่อย แต่แพงชิบ
หลังจากเดินอารมเสียออกมาจากย่านกินดื่มสุดฮิต ก็นั่งรถไฟกลับมาโรงแรม เกิดอาการหิวนิดหน่อย เดินผ่านร้านโซบะหน้าโรงแรมก็กินไม่ได้ เพราะต้องหยอดตู้จ่ายเงินสด เข้าไป Family mart จะกดเงินก็กดไม่ได้ น่าจะเลยเวลาทำการของไทย เลยตัดสินใจซื้อมาม่ามาที่ Family mart มากินกับเมียที่โรงแรมซะเลย
เมื่อถึงโรงแรมพบว่าเสื้อหนาวและกระเป๋าที่ใส่ไปย่าน Omoide Yokocho เหม็นควันมากกกกก คือตั้งใจจะใช้ของสองชิ้นนี้ตลอดทริปไง แม่งเอ้ย พังตั้งแต่วันแรก จบวันแรกของทริปไปได้อย่างน่าประทับใจสุดๆ เจอกัน EP.2 ครับ